รายงานราคาทองคำประจำวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ประกาศครั้งที่ 1 (เปิดตลาด) เมื่อเวลา 09.03 น. พบว่าราคาทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดครั้งสุดท้ายของเมื่อวาน โดยราคาทองแท่งอยู่ที่ 46,600 บาทต่อบาททองคำ ประกาศครั้งที่ 2 ปรับขึ้น 50 บาท เวลา 09:23 น. ราคาทองคำในประเทศชนิด 96.5% (ประกาศครั้งที่ 2) ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 47,150 บาท ฐานภาษีบาทละ 45,707.40 บาท ทองแท่ง ขายออกบาทละ 46,650 บาท รับซื้อบาทละ 46,550 บาท ราคาทองคำในประเทศเมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 (ประกาศครั้งที่ 8 - ครั้งสุดท้าย) ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 47,050 บาท ฐานภาษีบาทละ 45,616.42 บาท ทองแท่ง ขายออกบาทละ 46,550 บาท รับซื้อบาทละ 46,450 บาท ราคาทองคำตลาดโลก ราคาทองคำ Spot เช้าวันนี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 2,912 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำโคเม็กซ์สหรัฐ ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 11.80 ดอลลาร์ สู่ระดับ 2,930.60 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ร่วงหนักจากแรงเทขายทำกำไรในวันก่อนหน้า ปัจจัยที่ต้องจับตา ตลาดจับตาการเปิดเผย ดัชนี PCE ของสหรัฐ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทาง อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การใช้ มาตรการภาษีศุลกากร ของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้ปรับเพิ่มขึ้น 50 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 27,030 ดอลลาร์ฮ่องกง ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินของเฟด เพื่อประเมินทิศทางราคาทองคำในระยะถัดไป

รายงานราคาทองคำประจำวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ประกาศครั้งที่ 1 (เปิดตลาด) เมื่อเวลา 09.03 น. พบว่าราคาทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดครั้งสุดท้ายของเมื่อวาน โดยราคาทองแท่งอยู่ที่ 46,600 บาทต่อบาททองคำ ประกาศครั้งที่ 2 ปรับขึ้น 50 บาท เวลา 09:23 น. ราคาทองคำในประเทศชนิด 96.5% (ประกาศครั้งที่ 2) ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 47,150 บาท ฐานภาษีบาทละ 45,707.40 บาท ทองแท่ง ขายออกบาทละ 46,650 บาท รับซื้อบาทละ 46,550 บาท ราคาทองคำในประเทศเมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 (ประกาศครั้งที่ 8 - ครั้งสุดท้าย) ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 47,050 บาท ฐานภาษีบาทละ 45,616.42 บาท ทองแท่ง ขายออกบาทละ 46,550 บาท รับซื้อบาทละ 46,450 บาท ราคาทองคำตลาดโลก ราคาทองคำ Spot เช้าวันนี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 2,912 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำโคเม็กซ์สหรัฐ ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 11.80 ดอลลาร์ สู่ระดับ 2,930.60 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ร่วงหนักจากแรงเทขายทำกำไรในวันก่อนหน้า ปัจจัยที่ต้องจับตา ตลาดจับตาการเปิดเผย ดัชนี PCE ของสหรัฐ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทาง อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การใช้ มาตรการภาษีศุลกากร ของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้ปรับเพิ่มขึ้น 50 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 27,030 ดอลลาร์ฮ่องกง ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงเฝ้าติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินของเฟด เพื่อประเมินทิศทางราคาทองคำในระยะถัดไป

การทำความคุ้นเคยกับศัพท์ forex ทำให้เทรดเดอร์สามารถเรียนรู้การเทรด และทำความเข้าใจการเทรด forex ได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อเริ่มต้นเรียนรู้คำศัพท์เฉพาะเหล่านั้น ท่านอาจต้องค้นหาความหมายของคำศัพท์จากหลายๆ แหล่ง หรือ หลายเว็บไซต์ เพื่อที่จะเรียนรู้คำศัพท์ทั้งหมด ดังนั้น เราจึงได้รวบรวม คำศัพท์เกี่ยวกับการเทรด forex ที่สำคัญ ไว้ในบทความนี้ พร้อมกับคำอธิบายความหมายที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่โดยเฉพาะ ถ้าพร้อมแล้วล่ะก็… มาเรียนรู้คำศัพท์เหล่านั้น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเทรด forex กันเลย! คำศัพท์พื้นฐานในการเทรด Forex นักเทรดมือใหม่ส่วนมากมักจะเข้าใจว่าตลาดการเงินนั้นก็เปรียบเสมือนสวนสนุก ที่เพียงแค่เข้ามาวิ่งเล่นสนุกสนานก็อาจมีสิทธิ์ได้รับโอกาสดีๆ ในการทำเงินเข้ากระเป๋า แต่สิ่งที่นักเทรดมือใหม่จินตนาการเอาไว้นั้นกลับแตกต่างจากตลาดจริงๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะตลาด forex เป็นเหมือนสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าที่เต็มไปด้วยการซื้อขายและการลงทุนที่เข้มงวดและเคร่งเครียด! จะว่าไปแล้ว การเทรด forex ก็ไม่ต่างจากการทดลองวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์, คำศัพท์, ทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ในการสร้างรายได้ ดังนั้น เทรดเดอร์จะต้องเรียนรู้เทคนิคเหล่านั้น และทดลองใช้กลยุทธ์เหล่านั้นไปเรื่อยๆ เสมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง โดยการเรียนรู้ศัพท์เทคนิคในการเทรด forex จะช่วยทำให้เทรดเดอร์ไม่สับสนเมื่อเข้าสู่แพลตฟอร์มการเทรดจริง!

การทำความคุ้นเคยกับศัพท์ forex ทำให้เทรดเดอร์สามารถเรียนรู้การเทรด และทำความเข้าใจการเทรด forex ได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อเริ่มต้นเรียนรู้คำศัพท์เฉพาะเหล่านั้น ท่านอาจต้องค้นหาความหมายของคำศัพท์จากหลายๆ แหล่ง หรือ หลายเว็บไซต์ เพื่อที่จะเรียนรู้คำศัพท์ทั้งหมด ดังนั้น เราจึงได้รวบรวม คำศัพท์เกี่ยวกับการเทรด forex ที่สำคัญ ไว้ในบทความนี้ พร้อมกับคำอธิบายความหมายที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่โดยเฉพาะ ถ้าพร้อมแล้วล่ะก็… มาเรียนรู้คำศัพท์เหล่านั้น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเทรด forex กันเลย! คำศัพท์พื้นฐานในการเทรด Forex นักเทรดมือใหม่ส่วนมากมักจะเข้าใจว่าตลาดการเงินนั้นก็เปรียบเสมือนสวนสนุก ที่เพียงแค่เข้ามาวิ่งเล่นสนุกสนานก็อาจมีสิทธิ์ได้รับโอกาสดีๆ ในการทำเงินเข้ากระเป๋า แต่สิ่งที่นักเทรดมือใหม่จินตนาการเอาไว้นั้นกลับแตกต่างจากตลาดจริงๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะตลาด forex เป็นเหมือนสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าที่เต็มไปด้วยการซื้อขายและการลงทุนที่เข้มงวดและเคร่งเครียด! จะว่าไปแล้ว การเทรด forex ก็ไม่ต่างจากการทดลองวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์, คำศัพท์, ทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ในการสร้างรายได้ ดังนั้น เทรดเดอร์จะต้องเรียนรู้เทคนิคเหล่านั้น และทดลองใช้กลยุทธ์เหล่านั้นไปเรื่อยๆ เสมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง โดยการเรียนรู้ศัพท์เทคนิคในการเทรด forex จะช่วยทำให้เทรดเดอร์ไม่สับสนเมื่อเข้าสู่แพลตฟอร์มการเทรดจริง!

Microsoft เปิดเผยว่าธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทจะยังคงเติบโตในอัตราที่ช้าลง เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านธุรกิจ Azure cloud ซึ่งเป็นบริการหลักของบริษัท คาดว่าจะเติบโตได้สูงสุด 32% ในไตรมาสที่ 3 ของปีการเงิน ซึ่งไม่ได้เร็วกว่าการเติบโตในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2023 มากนัก แม้ว่าบริการ Azure AI จะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 157% ก็ตาม สำหรับ Microsoft เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI จากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT โดยในปีที่ผ่านมา Microsoft ได้ทุ่มเทเปิดตัวผู้ช่วย AI ภายใต้แบรนด์ Copilot หลากหลายรูปแบบ แต่การสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านี้กลับใช้เวลานานกว่าที่นักลงทุนหลายรายคาดหวังไว้

Microsoft เปิดเผยว่าธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งของบริษัทจะยังคงเติบโตในอัตราที่ช้าลง เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านธุรกิจ Azure cloud ซึ่งเป็นบริการหลักของบริษัท คาดว่าจะเติบโตได้สูงสุด 32% ในไตรมาสที่ 3 ของปีการเงิน ซึ่งไม่ได้เร็วกว่าการเติบโตในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2023 มากนัก แม้ว่าบริการ Azure AI จะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 157% ก็ตาม สำหรับ Microsoft เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI จากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT โดยในปีที่ผ่านมา Microsoft ได้ทุ่มเทเปิดตัวผู้ช่วย AI ภายใต้แบรนด์ Copilot หลากหลายรูปแบบ แต่การสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์เหล่านี้กลับใช้เวลานานกว่าที่นักลงทุนหลายรายคาดหวังไว้

จับตาคลื่นปัญญาประดิษฐ์จีนที่จะถาโถมหลังจากนี้ เมื่อความสำเร็จของ DeepSeek โมเดลจีนต้นทุนต่ำประสิทธิภาพสูงที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ไม่เพียงสร้างความกังวลให้ตะวันตกแต่ยังทำให้บรรดาคู่แข่งในประเทศดิ้นรนอัปเกรดโมเดลของตนเอง ล่าสุด Alibaba หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีนที่มีชื่อเสียงในด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI เปิดตัว “Qwen 2.5-Max” โมเดลใหม่มาแข่งขัน

จับตาคลื่นปัญญาประดิษฐ์จีนที่จะถาโถมหลังจากนี้ เมื่อความสำเร็จของ DeepSeek โมเดลจีนต้นทุนต่ำประสิทธิภาพสูงที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลกในขณะนี้ไม่เพียงสร้างความกังวลให้ตะวันตกแต่ยังทำให้บรรดาคู่แข่งในประเทศดิ้นรนอัปเกรดโมเดลของตนเอง ล่าสุด Alibaba หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีนที่มีชื่อเสียงในด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI เปิดตัว “Qwen 2.5-Max” โมเดลใหม่มาแข่งขัน

ความน่าสนใจของ ChatGPT Gov สำหรับความน่าสนใจของ ChatGPT Govอยู่ที่ผลการทดลองใช้งานในมลรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งพบว่าพนักงานรัฐสามารถลดเวลาในการทำงานประจำลงได้ถึง 105 นาทีต่อวัน โดยเฉพาะในงานวิเคราะห์ข้อกำหนดโครงการและงานประจำอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างความสำเร็จจากหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น - ห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ในงานบริหาร การเข้าถึงทรัพยากรภายใน และการเขียนโค้ดพื้นฐาน - ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอลามอส ใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม - สำนักงานแปลภาษาของรัฐมินนิโซตา ใช้ในการให้บริการแปลภาษาที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น พร้อมลดต้นทุนและระยะเวลาดำเนินการ นับตั้งแต่ต้นปี 2024 มีผู้ใช้งานกว่า 90,000 คนจากหน่วยงานรัฐบาลกลาง รัฐ และท้องถิ่นกว่า 3,500 แห่ง สร้างข้อความมากกว่า 18 ล้านครั้งผ่าน ChatGPT เพื่อสนับสนุนงานประจำวัน

ความน่าสนใจของ ChatGPT Gov สำหรับความน่าสนใจของ ChatGPT Govอยู่ที่ผลการทดลองใช้งานในมลรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งพบว่าพนักงานรัฐสามารถลดเวลาในการทำงานประจำลงได้ถึง 105 นาทีต่อวัน โดยเฉพาะในงานวิเคราะห์ข้อกำหนดโครงการและงานประจำอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างความสำเร็จจากหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น - ห้องปฏิบัติการวิจัยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ในงานบริหาร การเข้าถึงทรัพยากรภายใน และการเขียนโค้ดพื้นฐาน - ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอลามอส ใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม - สำนักงานแปลภาษาของรัฐมินนิโซตา ใช้ในการให้บริการแปลภาษาที่รวดเร็วและแม่นยำขึ้น พร้อมลดต้นทุนและระยะเวลาดำเนินการ นับตั้งแต่ต้นปี 2024 มีผู้ใช้งานกว่า 90,000 คนจากหน่วยงานรัฐบาลกลาง รัฐ และท้องถิ่นกว่า 3,500 แห่ง สร้างข้อความมากกว่า 18 ล้านครั้งผ่าน ChatGPT เพื่อสนับสนุนงานประจำวัน

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความตื่นตัวในอุตสาหกรรมเอไอ หลังจาก DeepSeek เปิดตัวออกมาและทะยานเป็นแอปพลิเคชันที่มีผู้ดาวน์โหลดมากที่สุดภายในไม่กี่สัปดาห์ แซงหน้าคู่แข่งทุกเจ้า นอกจากนั้น ผู้พัฒนายังอ้างว่า พวกเขาใช้งบประมาณในการฝึกฝนเอไอตัวนี้ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดหลายเท่าด้วย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความตื่นตัวในอุตสาหกรรมเอไอ หลังจาก DeepSeek เปิดตัวออกมาและทะยานเป็นแอปพลิเคชันที่มีผู้ดาวน์โหลดมากที่สุดภายในไม่กี่สัปดาห์ แซงหน้าคู่แข่งทุกเจ้า นอกจากนั้น ผู้พัฒนายังอ้างว่า พวกเขาใช้งบประมาณในการฝึกฝนเอไอตัวนี้ต่ำกว่าคู่แข่งในตลาดหลายเท่าด้วย

(ภาพจากเซิงซู่ เทคโนโลยี) จีนเปิดตัว Vidu 2.0 โมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับสร้างวิดีโอรุ่นใหม่ล่าสุด โดยสามารถสร้างคลิปวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า สำนักข่าว ซินหัว รายงานในวันที่ 28 ม.ค. 2568 ว่า เซิงซู่ เทคโนโลยี (ShengShu Technology) บริษัทสตาร์ตอัปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ได้เปิดตัว “วิดู 2.0” (Vidu 2.0) โมเดลปัญญาประดิษฐ์สร้างวิดีโอรุ่นปรับปรุงใหม่ ซึ่งสามารถสร้างคลิปวิดีโอ ความยาว 4 วินาที ความละเอียด 512p ภายในเวลาเพียง 10 วินาที ด้วยต้นทุน 2.4 หยวน (ราว 11 บาท) ต่อนาที เมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี สื่อทางการจีน รายงานว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์สร้างวิดีโอมีการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วของการสร้างวิดีโอยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้งานฟรีมักต้องรอนานหลายชั่วโมงเพื่อสร้างวิดีโอเพียงคลิปเดียว อย่างไรก็ตาม เซิงซู่ เทคโนโลยี เปิดตัววิดู 1.0 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งลดระยะเวลาสร้างคลิปวิดีโอเหลือต่ำกว่า 30 วินาที และมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านรายภายใน 100 วัน โดยปัจจุบันวิดูได้สร้างวิดีโอมากกว่า 100 ล้านคลิปแล้ว

(ภาพจากเซิงซู่ เทคโนโลยี) จีนเปิดตัว Vidu 2.0 โมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับสร้างวิดีโอรุ่นใหม่ล่าสุด โดยสามารถสร้างคลิปวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า สำนักข่าว ซินหัว รายงานในวันที่ 28 ม.ค. 2568 ว่า เซิงซู่ เทคโนโลยี (ShengShu Technology) บริษัทสตาร์ตอัปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ได้เปิดตัว “วิดู 2.0” (Vidu 2.0) โมเดลปัญญาประดิษฐ์สร้างวิดีโอรุ่นปรับปรุงใหม่ ซึ่งสามารถสร้างคลิปวิดีโอ ความยาว 4 วินาที ความละเอียด 512p ภายในเวลาเพียง 10 วินาที ด้วยต้นทุน 2.4 หยวน (ราว 11 บาท) ต่อนาที เมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี สื่อทางการจีน รายงานว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์สร้างวิดีโอมีการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วของการสร้างวิดีโอยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้งานฟรีมักต้องรอนานหลายชั่วโมงเพื่อสร้างวิดีโอเพียงคลิปเดียว อย่างไรก็ตาม เซิงซู่ เทคโนโลยี เปิดตัววิดู 1.0 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งลดระยะเวลาสร้างคลิปวิดีโอเหลือต่ำกว่า 30 วินาที และมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านรายภายใน 100 วัน โดยปัจจุบันวิดูได้สร้างวิดีโอมากกว่า 100 ล้านคลิปแล้ว

Microsoft มีแผนปลดพนักงาน เช่นเดียวกันกับ Meta ทาง Microsoft ก็มีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง โดยจะประเมินจากผลงาน หากมีผลงานที่ไม่น่าพึงพอใจ ทางบริษัทก็จะมีนโยบายพิจารณาปลดออก โดยทางโฆษกของ Microsoft ก็ได้ออกมายืนยันว่า จะมีการปลดพนักงาน แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ “ที่ Microsoft เรามุ่งเน้นไปที่บุคลากรที่มีศักยภาพสูง” โฆษกกล่าว “เราทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้พนักงานเรียนรู้และเติบโต แต่หากพนักงานมีผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ เราจะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป”

Microsoft มีแผนปลดพนักงาน เช่นเดียวกันกับ Meta ทาง Microsoft ก็มีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง โดยจะประเมินจากผลงาน หากมีผลงานที่ไม่น่าพึงพอใจ ทางบริษัทก็จะมีนโยบายพิจารณาปลดออก โดยทางโฆษกของ Microsoft ก็ได้ออกมายืนยันว่า จะมีการปลดพนักงาน แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบ “ที่ Microsoft เรามุ่งเน้นไปที่บุคลากรที่มีศักยภาพสูง” โฆษกกล่าว “เราทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้พนักงานเรียนรู้และเติบโต แต่หากพนักงานมีผลงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์ เราจะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป”

Meta เตรียมลดพนักงานลง 5% Meta เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, Threads และ WhatsApp มีแผนลดพนักงานลง 5% ของจำนวนทั้งหมด (หรือประมาณ 3,600 ตำแหน่งเลยทีเดียว) โดยจะอิงจากพนักงานที่มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์ของบริษัท โดยทาง Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta เคยบอกกับพนักงานในองค์กรว่า จะมีการ “ตัดสินใจยกระดับมาตรฐานในการบริหารผลงาน” และจะดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อ “ปลดพนักงานที่มีผลงานต่ำ” โดยพนักงานในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับแจ้งภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ ในประกาศยังกล่าวด้วยว่า “Meta กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น AI, แว่น VR ที่ในอนาคตจะกลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ยุคถัดไป และในฐานะโซเชียลมีเดีย ปีนี้จะเป็นปีที่เข้มข้น และบริษัทต้องการให้แน่ใจว่าเรามีบุคลากรที่ดีที่สุดอยู่ในทีมของเรา”

Meta เตรียมลดพนักงานลง 5% Meta เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, Threads และ WhatsApp มีแผนลดพนักงานลง 5% ของจำนวนทั้งหมด (หรือประมาณ 3,600 ตำแหน่งเลยทีเดียว) โดยจะอิงจากพนักงานที่มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์ของบริษัท โดยทาง Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta เคยบอกกับพนักงานในองค์กรว่า จะมีการ “ตัดสินใจยกระดับมาตรฐานในการบริหารผลงาน” และจะดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อ “ปลดพนักงานที่มีผลงานต่ำ” โดยพนักงานในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับแจ้งภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ ในประกาศยังกล่าวด้วยว่า “Meta กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น AI, แว่น VR ที่ในอนาคตจะกลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ยุคถัดไป และในฐานะโซเชียลมีเดีย ปีนี้จะเป็นปีที่เข้มข้น และบริษัทต้องการให้แน่ใจว่าเรามีบุคลากรที่ดีที่สุดอยู่ในทีมของเรา”

ปี 2025 ก็ยังนับได้ว่าเป็นปีที่จะมีการปลดพนักงานและการลดจำนวนพนักงานต่อเนื่อง หลังจากที่มีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทั้งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ การเงิน การผลิต ค้าปลีก และพลังงาน แม้ว่าสาเหตุของการลดจำนวนพนักงานลงในแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไป แต่มาตรการลดต้นทุนเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยจากการสำรวจล่าสุดของ World Economic Forum พบว่า 41% ของบริษัททั่วโลกคาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงภายใน 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะที่บริษัทหลายแห่งมีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง แต่ก็มีหลายแห่งที่จะตั้งตำแหน่งใหม่ด้าน Big Data, Fintech และ AI ซึ่งคาดว่าตำแหน่งเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปี 2030 และนั่นก็รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วย

ปี 2025 ก็ยังนับได้ว่าเป็นปีที่จะมีการปลดพนักงานและการลดจำนวนพนักงานต่อเนื่อง หลังจากที่มีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทั้งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ การเงิน การผลิต ค้าปลีก และพลังงาน แม้ว่าสาเหตุของการลดจำนวนพนักงานลงในแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไป แต่มาตรการลดต้นทุนเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยจากการสำรวจล่าสุดของ World Economic Forum พบว่า 41% ของบริษัททั่วโลกคาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงภายใน 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะที่บริษัทหลายแห่งมีแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลง แต่ก็มีหลายแห่งที่จะตั้งตำแหน่งใหม่ด้าน Big Data, Fintech และ AI ซึ่งคาดว่าตำแหน่งเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าภายในปี 2030 และนั่นก็รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วย

จุดเริ่มต้นจากถูกปฏิเสธไอเดียสู่ “ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีฐานข้อมูล” ย้อนกลับไปในช่วง 1960 Larry Ellison เจ้าพ่อธุรกิจชาวอเมริกันหรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle Corporation ผู้หลงใหลในเรื่องเทคโนโลยีฐานข้อมูล ได้แรงบันดาลใจจากเอกสารชื่อ "A Relational Model of Data for Large Shared Data Banks" ที่เขียนขึ้นในปี 1970 โดยโปรแกรมเมอร์ของ IBM ชื่อ Edgar F. Codd เกี่ยวกับระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS: Relational Database Management System) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีข้อมูล ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลยุคแรก ๆ ที่ใช้ SQL (Structured Query Language) หรือภาษาโปรแกรมมิ่งที่ใช้ในการสร้างและจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โดยคอนเซปต์ของโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้ก็คือระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างการจัดเก็บที่ชัดเจน (Structured Data) ในรูปแบบของตารางที่จะแบ่งแยกเป็นแถวและคอลัมน์ สามารถเรียก แก้ไข หรือค้นหาข้อมูลนั้นๆ เพื่อนำไปต่อยอดได้ เมื่อ Ellison อ่านเรื่องนี้เขาเชื่อว่าฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์บนระบบจัดการฐานข้อมูลจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อองค์กรต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชนจำเป็นต้องมีระบบฐานข้อมูลขององค์กร มี Big Data ของตัวเองและจะต้องใช้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์นี้เก็บหรือนำข้อมูลออกมาใช้ต่อยอด ตั้งแต่ข้อมูลการเงิน ราคาสินค้าไปจนถึงประวัติลูกค้า

จุดเริ่มต้นจากถูกปฏิเสธไอเดียสู่ “ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีฐานข้อมูล” ย้อนกลับไปในช่วง 1960 Larry Ellison เจ้าพ่อธุรกิจชาวอเมริกันหรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle Corporation ผู้หลงใหลในเรื่องเทคโนโลยีฐานข้อมูล ได้แรงบันดาลใจจากเอกสารชื่อ "A Relational Model of Data for Large Shared Data Banks" ที่เขียนขึ้นในปี 1970 โดยโปรแกรมเมอร์ของ IBM ชื่อ Edgar F. Codd เกี่ยวกับระบบการจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS: Relational Database Management System) ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีข้อมูล ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลยุคแรก ๆ ที่ใช้ SQL (Structured Query Language) หรือภาษาโปรแกรมมิ่งที่ใช้ในการสร้างและจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ โดยคอนเซปต์ของโมเดลเชิงสัมพันธ์นี้ก็คือระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีโครงสร้างการจัดเก็บที่ชัดเจน (Structured Data) ในรูปแบบของตารางที่จะแบ่งแยกเป็นแถวและคอลัมน์ สามารถเรียก แก้ไข หรือค้นหาข้อมูลนั้นๆ เพื่อนำไปต่อยอดได้ เมื่อ Ellison อ่านเรื่องนี้เขาเชื่อว่าฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์บนระบบจัดการฐานข้อมูลจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อองค์กรต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชนจำเป็นต้องมีระบบฐานข้อมูลขององค์กร มี Big Data ของตัวเองและจะต้องใช้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์นี้เก็บหรือนำข้อมูลออกมาใช้ต่อยอด ตั้งแต่ข้อมูลการเงิน ราคาสินค้าไปจนถึงประวัติลูกค้า

ทั้งนี้การแข่งขันมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เวลา 18.30 น. หรือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลา 07.30 น. (เช้า) ในประเทศไทย โดยเกมชิงแชมป์ NFL จะจัดขึ้นที่ Caesars Superdome ในนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีม New Orleans Saints โดยมีความจุผู้ชม 83,000 คน

ทั้งนี้การแข่งขันมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เวลา 18.30 น. หรือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลา 07.30 น. (เช้า) ในประเทศไทย โดยเกมชิงแชมป์ NFL จะจัดขึ้นที่ Caesars Superdome ในนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีม New Orleans Saints โดยมีความจุผู้ชม 83,000 คน

ซูเปอร์โบว์ล คือ งานแข่งขันประจำปีของ National Football League (NFL) ซึ่งนับเป็นงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดขึ้นในวันเดียว ซูเปอร์โบว์ลกลายเป็นงานอีเวนต์ที่เอเจนซีโฆษณาและแบรนด์ใฝ่ฝันที่จะได้พื้นที่ในการโปรโมตผลิตภัณฑ์บริการของตนเอง เพราะเป็นงานเดียวที่มีผู้ชมทีวีพร้อมกันหลายล้านคน ทำให้มูลค่าสื่อ (Media Value) และการประชาสัมพันธ์แบรนด์ (Brand Exposure) ที่จะเกิดสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้แบรนด์ต่าง ๆ เก็บอินไซด์เกี่ยวกับผู้ชมมาเพิ่มโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจได้หลังจากนี้อีกด้วย โดยการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลล่าสุดครั้งที่ 58 ในปี 2024 ได้สร้างสถิติการออกอากาศทางโทรทัศน์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้เข้าชมเฉลี่ยมากกว่า 123 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาผ่านช่อง CBS และสามารถดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลกประมาณ 62.5 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า แน่นอนว่าต้นทุนโฆษณาย่อมสูงขึ้นตามมา โดยมีรายงานว่าในปี 2024 โฆษณาความยาวเพียง 30 วินาทีระหว่างการถ่ายทอดสดนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ล้านเหรียญ โดยในปีนี้ราคาโฆษณาความยาว 30 วินาทีจะขึ้นราคาอยู่ที่ 8 ล้านเหรียญ

ซูเปอร์โบว์ล คือ งานแข่งขันประจำปีของ National Football League (NFL) ซึ่งนับเป็นงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดขึ้นในวันเดียว ซูเปอร์โบว์ลกลายเป็นงานอีเวนต์ที่เอเจนซีโฆษณาและแบรนด์ใฝ่ฝันที่จะได้พื้นที่ในการโปรโมตผลิตภัณฑ์บริการของตนเอง เพราะเป็นงานเดียวที่มีผู้ชมทีวีพร้อมกันหลายล้านคน ทำให้มูลค่าสื่อ (Media Value) และการประชาสัมพันธ์แบรนด์ (Brand Exposure) ที่จะเกิดสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้แบรนด์ต่าง ๆ เก็บอินไซด์เกี่ยวกับผู้ชมมาเพิ่มโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจได้หลังจากนี้อีกด้วย โดยการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลล่าสุดครั้งที่ 58 ในปี 2024 ได้สร้างสถิติการออกอากาศทางโทรทัศน์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้เข้าชมเฉลี่ยมากกว่า 123 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาผ่านช่อง CBS และสามารถดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลกประมาณ 62.5 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า แน่นอนว่าต้นทุนโฆษณาย่อมสูงขึ้นตามมา โดยมีรายงานว่าในปี 2024 โฆษณาความยาวเพียง 30 วินาทีระหว่างการถ่ายทอดสดนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ล้านเหรียญ โดยในปีนี้ราคาโฆษณาความยาว 30 วินาทีจะขึ้นราคาอยู่ที่ 8 ล้านเหรียญ

นี่เราอยู่ในยุคที่ดูทีวีแล้วจะเจอโฆษณาที่ขาย AI แล้วหรือนี่ จะเป็นอย่างไรเมื่อซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ต้นทุนเป็นพันล้าน กำลังแข่งขันกันโฆษณาเชิงพาณิชย์เพื่อเข้าถึงคนทั่วโลก... Wall Street Journal รายงานว่า OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เตรียมออกอากาศโฆษณาทางทีวีระหว่างการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ในวันอาทิตย์นี้ พร้อมระบุว่า นี่คือโฆษณาเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ OpenAI อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บิ๊กเทคปลูกฝังความรู้สึกดี ๆ ของ AI ให้กับผู้คนเป็นวงกว้างผ่าน TV commercial คู่แข่งอย่าง Google เคยออกโฆษณาเมื่อปีที่แล้วชื่อว่า "50 states, 50 stories" ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กทั่วประเทศใช้ AI ผ่าน Google Workspace เพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนอย่างไร ด้าน Microsoft เองก็เคยออกโฆษณา “Watch me” ในปี 2020 ที่โชว์ความสามารถของผู้ช่วย AI อย่าง Copilot ในการช่วยทำสิ่งต่าง ๆ

นี่เราอยู่ในยุคที่ดูทีวีแล้วจะเจอโฆษณาที่ขาย AI แล้วหรือนี่ จะเป็นอย่างไรเมื่อซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ต้นทุนเป็นพันล้าน กำลังแข่งขันกันโฆษณาเชิงพาณิชย์เพื่อเข้าถึงคนทั่วโลก... Wall Street Journal รายงานว่า OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เตรียมออกอากาศโฆษณาทางทีวีระหว่างการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ในวันอาทิตย์นี้ พร้อมระบุว่า นี่คือโฆษณาเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ OpenAI อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บิ๊กเทคปลูกฝังความรู้สึกดี ๆ ของ AI ให้กับผู้คนเป็นวงกว้างผ่าน TV commercial คู่แข่งอย่าง Google เคยออกโฆษณาเมื่อปีที่แล้วชื่อว่า "50 states, 50 stories" ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กทั่วประเทศใช้ AI ผ่าน Google Workspace เพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนอย่างไร ด้าน Microsoft เองก็เคยออกโฆษณา “Watch me” ในปี 2020 ที่โชว์ความสามารถของผู้ช่วย AI อย่าง Copilot ในการช่วยทำสิ่งต่าง ๆ

นอกจากนี้ ทาง OpenAI ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกันในชื่อว่า “Operator” สามารถทำงานได้อัตโนมัติแทนผู้ใช้ เช่น วางแผนท่องเที่ยว กรอกแบบฟอร์ม จองร้านอาหาร และสั่งซื้อของชำ โดย OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft อธิบายว่า Operator เป็น “ตัวแทนที่สามารถเข้าไปยังเว็บไซต์และทำงานแทนคุณได้” และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา OpenAI ยังได้เปิดตัว Deep Research ที่จะให้ AI Agent รวบรวมและวิเคราะห์รายงานวิจัยที่ซับซ้อน ตามคำถามและหัวข้อที่ผู้ใช้ต้องการ ทางด้าน Google เองก็ได้เปิดตัวเครื่องมือที่มีชื่อเดียวกันว่า Deep Research เมื่อเดือนธันวาคม ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยวิจัย” ค้นคว้าหัวข้อที่ซับซ้อนและสรุปรายงานให้ผู้ใช้ พร้อมกันนี้ Google ยังมีแผนจะเปิดตัวฟีเจอร์ AI อีกหลายตัวในช่วงต้นปี 2025 อีกด้วย Sundar Pichai ซีอีโอของ Google กล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรกเสมอไป แต่คุณต้องดำเนินกลยุทธ์ให้ดีและสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และผมคิดว่านั่นคือเป้าหมายของปี 2025 ของเรา”

นอกจากนี้ ทาง OpenAI ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกันในชื่อว่า “Operator” สามารถทำงานได้อัตโนมัติแทนผู้ใช้ เช่น วางแผนท่องเที่ยว กรอกแบบฟอร์ม จองร้านอาหาร และสั่งซื้อของชำ โดย OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft อธิบายว่า Operator เป็น “ตัวแทนที่สามารถเข้าไปยังเว็บไซต์และทำงานแทนคุณได้” และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา OpenAI ยังได้เปิดตัว Deep Research ที่จะให้ AI Agent รวบรวมและวิเคราะห์รายงานวิจัยที่ซับซ้อน ตามคำถามและหัวข้อที่ผู้ใช้ต้องการ ทางด้าน Google เองก็ได้เปิดตัวเครื่องมือที่มีชื่อเดียวกันว่า Deep Research เมื่อเดือนธันวาคม ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยวิจัย” ค้นคว้าหัวข้อที่ซับซ้อนและสรุปรายงานให้ผู้ใช้ พร้อมกันนี้ Google ยังมีแผนจะเปิดตัวฟีเจอร์ AI อีกหลายตัวในช่วงต้นปี 2025 อีกด้วย Sundar Pichai ซีอีโอของ Google กล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรกเสมอไป แต่คุณต้องดำเนินกลยุทธ์ให้ดีและสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด และผมคิดว่านั่นคือเป้าหมายของปี 2025 ของเรา”

เช่นเดียวกันกับบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเช่น Meta, Amazon, Microsoft, OpenAI และ Anthropic ก็กำลังมุ่งสู่การพัฒนา Agentic AI หรือโมเดลที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนแทนผู้ใช้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้คอยกำกับทุกขั้นตอนด้วยเช่นกัน ที่ผ่านมา Anthropic สตาร์ทอัพด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และก่อตั้งโดยอดีตผู้บริหารฝ่ายวิจัยของ OpenAI และยังถือว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญในสงครามพัฒนา AI agents เปิดเผยว่า AI ของบริษัทสามารถใช้งานและทำงานเองบนคอมพิวเตอร์ได้เหมือนมนุษย์ โดยสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ อย่างเช่น สามารถอ่านข้อความบนหน้าจอ เลือกปุ่ม กรอกข้อความ นำทางเว็บไซต์ และทำงานบนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ รวมถึงเรียกดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ได้

เช่นเดียวกันกับบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างเช่น Meta, Amazon, Microsoft, OpenAI และ Anthropic ก็กำลังมุ่งสู่การพัฒนา Agentic AI หรือโมเดลที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนแทนผู้ใช้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้คอยกำกับทุกขั้นตอนด้วยเช่นกัน ที่ผ่านมา Anthropic สตาร์ทอัพด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และก่อตั้งโดยอดีตผู้บริหารฝ่ายวิจัยของ OpenAI และยังถือว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญในสงครามพัฒนา AI agents เปิดเผยว่า AI ของบริษัทสามารถใช้งานและทำงานเองบนคอมพิวเตอร์ได้เหมือนมนุษย์ โดยสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ อย่างเช่น สามารถอ่านข้อความบนหน้าจอ เลือกปุ่ม กรอกข้อความ นำทางเว็บไซต์ และทำงานบนซอฟต์แวร์ต่าง ๆ รวมถึงเรียกดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ได้

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัว “Gemini 2.0” และเรียกว่าเป็นชุดโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ “ทรงพลังที่สุด” เท่าที่เคยมีมาให้กับทุกคนได้ใช้งาน ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนธันวาคม Google ได้เปิดให้สิทธิ์นักพัฒนาได้ลองทดสอบใช้งานโมเดลใหม่นี้ พร้อมกับเปิดให้ใช้ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างที่ผูกเข้ากับผลิตภัณฑ์ของ Google ไปแล้ว ส่วนครั้งนี้เป็นการเปิดตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก อีกทั้ง การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการย้ำถึงการพัฒนา Gemini ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ Google กำลังลงทุนอย่างหนักใน AI agents ท่ามกลางการแข่งขันด้าน AI ที่เข้มข้นขึ้นระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ สำหรับ Gemini 2.0 ชุดโมเดลนี้จะประกอบไปด้วย Gemini 2.0 Flash ออกแบบมาให้เป็น “โมเดลสำหรับงานหนัก” เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประมวลผลปริมาณมากและความถี่สูง Gemini 2.0 Pro Experimental ที่เน้นด้านการเขียนโค้ด Gemini 2.0 Flash-Lite ซึ่ง Google เรียกว่าเป็น “โมเดลที่คุ้มค่าต่อการใช้งานที่สุด” ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Gemini Flash จะอยู่ที่ 0.10 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเค็น สำหรับอินพุตที่เป็นข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ส่วน Flash-Lite ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ประหยัดกว่ามีค่าใช้จ่าย 0.0075 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเค็น

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัว “Gemini 2.0” และเรียกว่าเป็นชุดโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ “ทรงพลังที่สุด” เท่าที่เคยมีมาให้กับทุกคนได้ใช้งาน ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนธันวาคม Google ได้เปิดให้สิทธิ์นักพัฒนาได้ลองทดสอบใช้งานโมเดลใหม่นี้ พร้อมกับเปิดให้ใช้ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างที่ผูกเข้ากับผลิตภัณฑ์ของ Google ไปแล้ว ส่วนครั้งนี้เป็นการเปิดตัวสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก อีกทั้ง การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการย้ำถึงการพัฒนา Gemini ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ Google กำลังลงทุนอย่างหนักใน AI agents ท่ามกลางการแข่งขันด้าน AI ที่เข้มข้นขึ้นระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ สำหรับ Gemini 2.0 ชุดโมเดลนี้จะประกอบไปด้วย Gemini 2.0 Flash ออกแบบมาให้เป็น “โมเดลสำหรับงานหนัก” เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประมวลผลปริมาณมากและความถี่สูง Gemini 2.0 Pro Experimental ที่เน้นด้านการเขียนโค้ด Gemini 2.0 Flash-Lite ซึ่ง Google เรียกว่าเป็น “โมเดลที่คุ้มค่าต่อการใช้งานที่สุด” ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน Gemini Flash จะอยู่ที่ 0.10 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเค็น สำหรับอินพุตที่เป็นข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ส่วน Flash-Lite ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ประหยัดกว่ามีค่าใช้จ่าย 0.0075 ดอลลาร์ต่อ 1 ล้านโทเค็น

โดยข้อมูลจาก Kaspersky ยังพบอีกว่า SparkCat ได้กระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างในแหล่งดาวน์โหลดอื่นที่ไม่เป็นทางการอีกด้วย ในขณะที่บน Google Play แอปฯ เหล่านี้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 242,000 ครั้ง มัลแวร์ตัวนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), ยุโรป และเอเชียเป็นหลัก โดยที่ SparkCat จะสามารถสแกนแกลเลอรีรูปภาพเพื่อค้นหาคำสำคัญในหลายภาษา ทั้ง จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อังกฤษ, เช็ก, ฝรั่งเศส, อิตาลี, โปแลนด์ และโปรตุเกส อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเหยื่ออาจมาจากประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาเหล่านี้ด้วย สำหรับแอปพลิเคชันที่อยู่บน App Store และ Google Play ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าแอปฯ เหล่านี้ถูกเจาะระบบผ่าน Supply Chain Attack หรือผ่านวิธีการอื่น ๆ ซึ่งบางแอปฯ ที่ถูกเจาะอย่างเช่น แอปฯ ส่งอาหาร ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และบางแอปฯ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ล่อเหยื่อโดยเฉพาะ จากการวิเคราะห์มัลแวร์ของ Kaspersky พบข้อสังเกตว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจีน โดยในเวอร์ชัน Android ผู้เชี่ยวชาญของ Kaspersky พบว่า มีคอมเมนต์ในโค้ดที่เขียนเป็นภาษาจีน และเวอร์ชัน iOS ยังพบชื่อไดเรกทอรีของนักพัฒนา เช่น “qiongwu” และ “quiwengjing” ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญนี้สามารถใช้ภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุว่ามัลแวร์นี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์จากจีนหรือไม่

โดยข้อมูลจาก Kaspersky ยังพบอีกว่า SparkCat ได้กระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างในแหล่งดาวน์โหลดอื่นที่ไม่เป็นทางการอีกด้วย ในขณะที่บน Google Play แอปฯ เหล่านี้ถูกดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 242,000 ครั้ง มัลแวร์ตัวนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), ยุโรป และเอเชียเป็นหลัก โดยที่ SparkCat จะสามารถสแกนแกลเลอรีรูปภาพเพื่อค้นหาคำสำคัญในหลายภาษา ทั้ง จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อังกฤษ, เช็ก, ฝรั่งเศส, อิตาลี, โปแลนด์ และโปรตุเกส อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเหยื่ออาจมาจากประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาเหล่านี้ด้วย สำหรับแอปพลิเคชันที่อยู่บน App Store และ Google Play ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าแอปฯ เหล่านี้ถูกเจาะระบบผ่าน Supply Chain Attack หรือผ่านวิธีการอื่น ๆ ซึ่งบางแอปฯ ที่ถูกเจาะอย่างเช่น แอปฯ ส่งอาหาร ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และบางแอปฯ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ล่อเหยื่อโดยเฉพาะ จากการวิเคราะห์มัลแวร์ของ Kaspersky พบข้อสังเกตว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจีน โดยในเวอร์ชัน Android ผู้เชี่ยวชาญของ Kaspersky พบว่า มีคอมเมนต์ในโค้ดที่เขียนเป็นภาษาจีน และเวอร์ชัน iOS ยังพบชื่อไดเรกทอรีของนักพัฒนา เช่น “qiongwu” และ “quiwengjing” ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญนี้สามารถใช้ภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุว่ามัลแวร์นี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรไซเบอร์จากจีนหรือไม่

ต่ในส่วนการทำงานของ SparkCat จะติดตั้งตัวเองมากับแอปฯ แล้วใช้ Machine Learning เพื่อสแกนแกลเลอรีรูปภาพและขโมยภาพหน้าจอ โดยเมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้งแล้ว ในบางกรณีจะร้องขอสิทธิ์เข้าถึงและดูรูปภาพในแกลเลอรีของโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะใช้ระบบจดจำอักขระแบบออปติคัล (OCR) เพื่อวิเคราะห์ข้อความในภาพ หากตรวจพบคำสำคัญที่เกี่ยวข้องมัลแวร์จะทำการส่งภาพนั้นไปยังแฮกเกอร์ โดยเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ คือ การค้นหา Recovery Phrase ของกระเป๋าคริปโต เพื่อที่จะเข้าควบคุมกระเป๋าของเหยื่อได้อย่างสมบูรณ์และขโมยเงิน นอกจากนี้ มัลแวร์ยังสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ จากภาพหน้าจอ เช่น ข้อความสนทนาและรหัสผ่าน

ต่ในส่วนการทำงานของ SparkCat จะติดตั้งตัวเองมากับแอปฯ แล้วใช้ Machine Learning เพื่อสแกนแกลเลอรีรูปภาพและขโมยภาพหน้าจอ โดยเมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้งแล้ว ในบางกรณีจะร้องขอสิทธิ์เข้าถึงและดูรูปภาพในแกลเลอรีของโทรศัพท์มือถือ จากนั้นจะใช้ระบบจดจำอักขระแบบออปติคัล (OCR) เพื่อวิเคราะห์ข้อความในภาพ หากตรวจพบคำสำคัญที่เกี่ยวข้องมัลแวร์จะทำการส่งภาพนั้นไปยังแฮกเกอร์ โดยเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ คือ การค้นหา Recovery Phrase ของกระเป๋าคริปโต เพื่อที่จะเข้าควบคุมกระเป๋าของเหยื่อได้อย่างสมบูรณ์และขโมยเงิน นอกจากนี้ มัลแวร์ยังสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ จากภาพหน้าจอ เช่น ข้อความสนทนาและรหัสผ่าน

Kaspersky Threat Research ศูนย์วิจัยภัยคุกคามพบ โทรจัน (Trojan) มัลแวร์รูปแบบหนึ่งที่สามารถติดตั้งตัวเองได้ ในชื่อ “SparkCat” ที่จะติดตั้งตัวเองเข้าไปกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทั้งแอปฯ ที่ถูกกฎหมาย ไปจนถึงแอปฯ ทั่วไป เช่น แอปฯ ข้อความ, ผู้ช่วย AI, แอปฯ ส่งอาหาร, แอปฯ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต และอื่น ๆ ซึ่งบางแอปฯ สามารถดาวน์โหลดได้จากแพลตฟอร์มทางการ อย่าง Google Play และ App Store สำหรับ SparkCat เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พบมัลแวร์ที่ใช้เทคนิคจดจำภาพแบบออปติคัล หรือ Optical Character Recognition (OCR) ที่จะทำงานตรวจจับข้อความในภาพที่อยู่ใน Gallery ภาพบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้ ตลอดจนภาพที่เปิดจากหน้าจอ และจะทำการวิเคราะห์หาข้อความสำคัญจากภาพ เทคโนโลยี OCR ถูกออกแบบมาในยุค AI เพื่อช่วยให้การแปลงข้อความเอกสารจากกระดาษทั้งลายมือและตัวพิมพ์ ให้อยู่ในรูปแบบของข้อความดิจิทัล ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นเรื่องง่าย ลดเวลาการทำงาน ในขณะเดียวกันเพิ่มประสิทธิภาพและทำกำไรให้ธุรกิจได้มากขึ้น

Kaspersky Threat Research ศูนย์วิจัยภัยคุกคามพบ โทรจัน (Trojan) มัลแวร์รูปแบบหนึ่งที่สามารถติดตั้งตัวเองได้ ในชื่อ “SparkCat” ที่จะติดตั้งตัวเองเข้าไปกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทั้งแอปฯ ที่ถูกกฎหมาย ไปจนถึงแอปฯ ทั่วไป เช่น แอปฯ ข้อความ, ผู้ช่วย AI, แอปฯ ส่งอาหาร, แอปฯ ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต และอื่น ๆ ซึ่งบางแอปฯ สามารถดาวน์โหลดได้จากแพลตฟอร์มทางการ อย่าง Google Play และ App Store สำหรับ SparkCat เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พบมัลแวร์ที่ใช้เทคนิคจดจำภาพแบบออปติคัล หรือ Optical Character Recognition (OCR) ที่จะทำงานตรวจจับข้อความในภาพที่อยู่ใน Gallery ภาพบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้ ตลอดจนภาพที่เปิดจากหน้าจอ และจะทำการวิเคราะห์หาข้อความสำคัญจากภาพ เทคโนโลยี OCR ถูกออกแบบมาในยุค AI เพื่อช่วยให้การแปลงข้อความเอกสารจากกระดาษทั้งลายมือและตัวพิมพ์ ให้อยู่ในรูปแบบของข้อความดิจิทัล ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นเรื่องง่าย ลดเวลาการทำงาน ในขณะเดียวกันเพิ่มประสิทธิภาพและทำกำไรให้ธุรกิจได้มากขึ้น