การเทรดนั้น ย่อมมี บวก และ ลบ การทำกำไร มากน้อย ไม่สำคัญเท่า การทำได้ต่อเนื่อง ในภาพกำไรเพียง3 เปอร์เซนต์ เท่านั้น แต่หากทำาได้ต่อเนื่อง เพียง 1 ปี พอรตก้อจะโต มหาศาล ครับ

ราคาน้ำมันขยับลงเล็กน้อยในวันอังคาร (4 ต.ค.) นักลงทุนเฝ้ารอข้อมูลเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความคาดหมายว่าน่าจะสูงขึ้น ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ จากความกลัดกลุ้มต่อการถอนตัวออกจากอียูของสหราชอาณาจักรและแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ย ปัจจัยดังกล่าวฉุดดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและฉุดให้ทองคำดิ่งเหว สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนลดลง 12 เซ็นต์ ปิดที่ 48.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 2 เซ็นต์ ปิดที่ 50.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นักลงทุนเฝ้ารอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับคลังปิโตรเลียมสำรองรายสัปดาห์ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ (5 ต.ค.)

นิวยอร์ก ไทม์ส อ้างหลักฐานจากบันทึกการเสียภาษีของทรัมป์ในปี 2538 ที่แสดงให้เห็นว่าทรัมป์ประสบภาวะขาดทุนมหาศาลถึง 916 ล้านดอลลาร์ อันสืบเนื่องจากหายนะทางการเงินที่เกิดขึ้นจากการบริหารธุรกิจของทรัมป์ในช่วงก่อนหน้านั้น ซึ่งประกอบด้วยการบริหารงานแอตแลนติกซิตี กาสิโน 3 แห่งผิดพลาด, การกระโจนเข้าไปในธุรกิจสายการบินแล้วขาดทุนอย่างหนัก และสุดท้ายคือการเข้าไปซื้อกิจการพลาซา โฮเต็ล ในย่านแมนฮัตตัน ปริมาณการขาดทุนดังกล่าวสูงมากพอที่จะทำให้ทรัมป์ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้ ถ้าหากเงินได้ในปีต่อๆ มามีไม่เกินวงเงินที่กำหนด หรือกว่า 50 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งนี้ ทีมหาเสียงของทรัมป์ออกแถลงการณ์หลังปรากฏรายงานข่าวนี้ ยืนยันเพียงว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถและรับผิดชอบจ่ายภาษีต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไม่เกินกว่านั้น แต่ไม่ยอมพาดพิงถึงการขาดทุนมหาศาลดังกล่าวแต่อย่างใด

สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2539 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 2557 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไม่เคยต้องเสียภาษีเงินได้ ส่วนบุคคล รวมระยะเวลานานถึง 18 ปี และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ปฏิเสธที่จะแจกแจงรายการเสียภาษีและได้รับเงินภาษีคืนตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง ซึ่งกลายเป็นกรณีอ่อนไหวในการรณรงค์หาเสียงอยู่ในเวลานี้

นายกฯเธเรซา เมย์ (Theresa May) ของอังกฤษเปิดเผยว่าอังกฤษจะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนในมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนภายในเดือนมีนาคม ปี 2017 เพื่อนำอังกฤษออกจาก EU ตามที่มีการลงประชามติ Brexit ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สาเหตุที่อังกฤษไม่ใช้มาตรา 50 ในปีนี้เลยก็เพื่อให้รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวก่อน ทั้งการกำหนดนโยบายต่างๆของอังกฤษเองและการเจรจาความสัมพันธ์กับ EU หลังจากนี้ด้วย เพื่อให้กระบวนการ Brexit ราบรื่นที่สุด เมื่อไม่กี่วันก่อนพึ่งมีการเสนอร่างกฎหมาย Great Repeal Bill (แปลตรงตัวคือ "การยกเลิกครั้งใหญ่") ยกเลิกสถานะของกฎหมาย EU ที่อยู่เหนือกฎหมายภายในของอังกฤษ เพื่อให้อังกฤษกลับมามีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองโดยสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง สามารถกำหนดนโยบายของตนเองได้อย่างอิสระ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายแดเนียล ทารุลโล หนึ่งในคณะกรรมการบริหารของกองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) เปิดเผยเมื่อวันที่ 26 กันยายนว่า การทดสอบการรับมือกับภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินต่างๆ หรือสเตรสเทสต์ รอบล่าสุดประจำปีนี้พบว่า สถาบันการเงินที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินโลก (จีเอสไอบี) ที่ใหญ่ที่สุด 8 แห่ง จำเป็นต้องมีเงินทุนสูงมากขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยของระบบ โดยเฟดเตรียมจะเสนอแผนอย่างเป็นทางการในการกำหนดกฎเกณฑ์ให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องเพิ่มจำนวนเงินทุนสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นในเร็วๆ นี้ สถาบันการเงินทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ แบงก์ ออฟ อเมริกา, แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน, ซิตีกรุ๊ป, โกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน เชส, มอร์แกน สแตนลีย์, สเตท สตรีท และเวลส์ ฟาร์โก ทั้งนี้ การทดสอบสเตรสเทสต์ ประจำปีที่มีขึ้นนับตั้งแต่หลังวิกฤตการเงินปี 2551 ใช้เพื่อเป็นการพิจารณาตรวจสอบว่าธนาคารดังกล่าวมีเงินทุนเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงหรือไม่ โดยธนาคารที่ไม่ผ่านการทดสอบอาจไม่ได้รับอนุญาตให้จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น