บทคัดย่อ:คดี Yadi Zhang หรือ Zhimin Qian ถือเป็นหนึ่งในอาชญากรรมคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลังศาลอังกฤษตัดสินโทษเธอในข้อหาฟอกเงิน และสามารถยึดบิตคอยน์กว่า 61,000 BTC มูลค่ากว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ คดีนี้ตอกย้ำบทเรียนสำคัญแก่ นักลงทุน Bitcoin ว่า การล่อลวงด้วยผลตอบแทนเกินจริงคือสัญญาณอันตราย ความโปร่งใสของแพลตฟอร์มคือสิ่งที่ต้องตรวจสอบ และการป้องกันความเสี่ยงเป็นหัวใจของการลงทุนในโลกดิจิทัล

แอดเหยี่ยวขอพามาย้อนรอยหนึ่งในคดีอาชญากรรมทางการเงินและคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เมื่อศาลอังกฤษตัดสิน Yadi Zhang หรือที่รู้จักในชื่อ Zhimin Qian สาวจีนวัย 47 ปี มีความผิดในข้อหา “ครอบครองและโอนย้ายทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดทางอาญา” หลังจากสืบสวนยาวนานตั้งแต่ปี 2017
สิ่งที่สะเทือนวงการคริปโตและทำให้ นักลงทุน Bitcoin ต้องจับตามองคือ ตำรวจนครบาลอังกฤษสามารถ ยึดบิตคอยน์ได้มากถึง 61,000 BTC ซึ่งนับเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก โดยมีมูลค่าปัจจุบันราว 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.2 ล้านล้านบาท
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Yadi Zhang ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ Tianjin Lantian Gerui Electronic Technology ที่ประเทศจีน โดยใช้กลยุทธ์ล่อลวงผู้คนให้เข้ามาลงทุน พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 300% และยังอ้างว่ามีธุรกิจ “ขุดบิตคอยน์” ควบคู่ไปด้วย
เธอใช้วิธีจัดงานสุดหรูในสถานที่ที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนที่ นักลงทุนกว่า 128,000 คน จะถูกหลอกให้ร่วมลงทุน และต้องสูญเสียเงินไปกว่า 40,000 ล้านหยวน (ประมาณ 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 181,000 ล้านบาท)
เงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ถูกแปลงเป็น Bitcoin ผ่านแพลตฟอร์ม Huobi ก่อนที่ Zhang จะหลบหนีออกจากจีนและเดินทางไปอังกฤษ
ปี 2018 เจ้าหน้าที่อังกฤษได้เข้าตรวจค้นบ้านพักหรูในลอนดอน และพบเครื่องมือเก็บบันทึกคริปโต ก่อนจะตรวจสอบและพบว่าในนั้นมี บิตคอยน์กว่า 61,000 BTC ซึ่งกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี
ต่อมา Jian Wen ผู้ช่วยคนสนิทของ Zhang ก็ถูกตัดสินจำคุก 6 ปีในข้อหาฟอกเงิน และถูกสื่ออังกฤษขนานนามว่าเป็น “ซูเปอร์วายร้าย”
แม้คดีนี้จะเป็นคดีอาญา แต่สำหรับ นักลงทุน Bitcoin มีหลายประเด็นที่ควรหยิบมาเป็นบทเรียนสำคัญ:
คดีการยึดบิตคอยน์กว่า 61,000 BTC ของ Yadi Zhang ไม่เพียงแต่เป็นประวัติศาสตร์การบังคับใช้กฎหมายด้านคริปโตครั้งใหญ่ที่สุด แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ นักลงทุน Bitcoin ทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงของการลงทุนที่ขาดการตรวจสอบ
แอดเหยี่ยวขอฝากไว้ว่า ในโลกการเงินดิจิทัลที่ทั้งโอกาสและความเสี่ยงเดินคู่กัน การเป็น นักลงทุน Bitcoin ที่ฉลาดคือการ “ไม่หลงเชื่อผลตอบแทนที่เกินจริง และรู้จักป้องกันความเสี่ยงอยู่เสมอ”
ขอบคุณข้อมูลจาก Thairath Money
ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการใช้โบรกเกอร์ไม่ว่าจะโดนโกง ถอนเงินไม่ได้ หรือเจอพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส เราอยากบอกว่า… คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้คนเดียว เพื่อให้วงการ Forex เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มาเล่าให้เราฟังหน่อยนะครับ ว่าเจออะไรมาบ้าง ทีมงานของเราจะนำข้อมูลไปช่วยวิเคราะห์ และจะติดต่อกลับเพื่อดูว่าเราพอจะช่วยอะไรได้บ้าง
คลิกตรงนี้เพื่อเล่าให้เราฟัง : https://forms.gle/YhR5UGA41pZT62Fo8

อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย : https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!


บทความนี้อธิบายสามพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ทำให้นักลงทุนคริปโตสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แก่ การตามกระแสด้วย FOMO จนซื้อบนยอดดอย การถัวราคาโดยไร้แผนเพื่อปลอบความรู้สึกผิด และการ Panic Sell เมื่อราคาดิ่งจนไม่อาจรับความเจ็บปวดได้ วงจรเหล่านี้ไม่ใช่ผลจากตลาดที่โหดร้าย แต่เกิดจากอารมณ์มนุษย์ที่เข้ามาครอบงำการตัดสินใจ นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีแผนก่อนเข้า มีจุดออกชัดเจน และควบคุมอารมณ์ไม่ให้เป็นผู้ขับเคลื่อนพอร์ต หากสามารถเป็น “นายเหนืออารมณ์” ได้ ก็จะเพิ่มโอกาสรอดและเติบโตในตลาดคริปโตที่ผันผวนอย่างยิ่งนี้.

ผลสำรวจจากแพลตฟอร์มการเงิน “400F” ชี้ว่าชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเริ่มถอนตัวจากตลาดคริปโต โดยสาเหตุสำคัญไม่ใช่ความผันผวนของราคา แต่คือภาระภาษีที่สูงถึง 55% และขั้นตอนรายงานที่ยุ่งยาก ทำให้นักลงทุนรู้สึกว่ากำไรไม่คุ้มต้นทุน ขณะเดียวกันผู้ลงทุนส่วนใหญ่ยังมองคริปโตเป็นการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว และกว่า 40% พร้อมกลับเข้าตลาด หากรัฐบาลปรับกฎให้เป็นมิตรขึ้น กรณีนี้สะท้อนว่ากฎระเบียบและภาษีมีผลโดยตรงต่อแรงจูงใจในการลงทุน มากกว่าความผันผวนของสินทรัพย์เอง.

ปฏิบัติการ “Operation Copperhead” เปิดโปงเครือข่ายเหมืองบิตคอยน์ผิดกฎหมายที่แอบใช้ไฟฟ้าหลวงกว่า 3 ปี สร้างความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเครื่องขุด 3,642 เครื่อง มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ซึ่งถูกซ่อนไว้ในคอนเทนเนอร์ดัดแปลงพร้อมระบบหล่อเย็นด้วยน้ำเพื่อพรางการตรวจสอบ การสืบสวนพบความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเทาและแก๊งสแกมเมอร์ในเมียนมาที่ใช้เหมืองเป็นช่องทางฟอกเงินหมุนเวียนระดับหลายพันล้านบาท รัฐบาลสั่งขยายผล ยึดทรัพย์ และร่วมมือข้ามแดนเพื่อทำลายเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดใหญ่ครั้งนี้.

กรณีพบ Ledger Nano ในคดี “นานา ไรบีนา” ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าอุปกรณ์ถูกยึดเท่ากับเงินถูกยึด แต่ความจริงสินทรัพย์ดิจิทัลไม่อยู่ในตัวเครื่อง แต่อยู่ที่ Seed Phrase ซึ่งผู้ถือสามารถนำไปกู้คืนกระเป๋าได้จากที่ไหนก็ได้ในโลก ข้อมูลบนบล็อกเชนตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่จะยึดคืนไม่ได้หากไม่มี Private Key คดีนี้ชี้ชัดว่า ความปลอดภัยของคริปโตขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา Seed Phrase มากกว่าอุปกรณ์ นักเทรดทั้งคริปโตและ Forex จึงต้องมีวินัยในการปกป้องกุญแจเหล่านี้ให้รัดกุมที่สุด.