บทคัดย่อ:บทความนี้วิเคราะห์ความคุ้มค่าของการขุด Bitcoin ในปีปัจจุบัน โดยพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ค่าไฟฟ้า ความยากในการขุด ราคาตลาด และต้นทุนอุปกรณ์ พร้อมอธิบายโครงสร้างรายได้หลังการ Halving ที่ทำให้รางวัลลดลงและการแข่งขันสูงขึ้น ผลการประเมินพบว่าการขุดจะคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีต้นทุนไฟฟ้าต่ำและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง รวมถึงผู้ที่ต้องการสะสม Bitcoin ระยะยาว ขณะที่ผู้ที่มีค่าไฟสูงหรือหวังผลตอบแทนเร็วอาจไม่เหมาะกับการขุดในช่วงนี้ โดยมีทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่า เช่น การซื้อสะสมแบบ DCA หรือการลงทุนในบริษัทเหมือง Bitcoin บทความจึงสรุปว่า การขุดยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างต้นทุนและกลยุทธ์ของผู้ลงทุนเป็นหลัก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาของ Bitcoin ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งนักลงทุนและผู้ที่ติดตามเทคโนโลยีบล็อกเชน การที่ราคาเคลื่อนไหวรุนแรงควบคู่กับต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้คำถามสำคัญหนึ่งกลับมาถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง คือ “การขุด Bitcoin ในปีนี้ยังคุ้มค่าหรือไม่”
แม้หลายคนจะมองว่าอุตสาหกรรมการขุด (Mining Industry) เติบโตและมีเครื่องขุดรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความยากในการขุดเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และต้นทุนด้านไฟฟ้าก็เป็นภาระใหญ่ของนักขุดรายย่อย บทความนี้จึงจะวิเคราะห์การขุด Bitcoin แบบเจาะลึก ทั้งต้นทุน อุปกรณ์ รายได้ และเงื่อนไขที่แท้จริงว่าคุ้มค่าหรือไม่ในปีนี้
การขุด Bitcoin (Bitcoin Mining) คือกระบวนการใช้คอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงในการตรวจสอบธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่บนเครือข่ายบล็อกเชน เมื่อขุดสำเร็จ ผู้ขุดจะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin ใหม่และค่าธรรมเนียมธุรกรรม
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรางวัลจากการขุดลดลงตามรอบ Halving ทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกรรมกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญมากขึ้น
ค่าไฟเป็นต้นทุนที่สูงที่สุดของการขุด Bitcoin เครื่องขุด ASIC โดยทั่วไปใช้ไฟระหว่าง 2,500–3,500 วัตต์ต่อเครื่อง หากเปิดใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ค่าไฟต่อเดือนอาจอยู่ในหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับอัตราค่าไฟในพื้นที่ หากค่าไฟเกินระดับ 4–5 บาทต่อยูนิต การขุดมักไม่คุ้มเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ต้องใช้
เครือข่าย Bitcoin ปรับความยากในการขุดอยู่เสมอตามจำนวนผู้เข้าร่วม หากมีผู้ขุดเพิ่มขึ้น ความยากจะสูงขึ้น ทำให้โอกาสขุดสำเร็จลดลง รายได้ต่อเครื่องจึงลดลงตามไปด้วย
การขุด Bitcoin มีความสัมพันธ์โดยตรงกับราคาในตลาด หากราคาปรับตัวขึ้น รายได้จากการขุดจะเพิ่มขึ้น แต่หากราคาปรับตัวลงแบบรุนแรง อัตราผลตอบแทนก็ลดลงทันที
เป็นอุปกรณ์ขุดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพดีและใช้ไฟน้อยเมื่อเทียบกับพลังขุด ราคาตั้งแต่ 30,000 ถึงมากกว่า 150,000 บาทต่อเครื่อง รุ่นยอดนิยมได้แก่ Antminer S19 Pro และ Whatsminer M50
ไม่สามารถใช้ขุด Bitcoin ได้อีกต่อไป เนื่องจากอัลกอริทึม SHA-256 ต้องใช้ ASIC โดยเฉพาะ GPU เหมาะสำหรับเหรียญประเภทอื่นมากกว่า
เป็นการเช่าพลังขุดจากบริษัทผู้ให้บริการ แม้จะดูเหมือนสะดวก แต่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีบริการจำนวนมากที่ไม่โปร่งใสหรือเข้าข่ายหลอกลวงการคำนวณรายได้จากการขุด Bitcoin
รายได้สามารถคำนวณได้จากสูตรดังต่อไปนี้
รายได้สุทธิ = (รางวัลจากการขุด + ค่าธรรมเนียมธุรกรรม) – ค่าไฟ – ค่าเสื่อมอุปกรณ์
หลังการ Halving ล่าสุด รางวัลการขุดอยู่ที่ 3.125 BTC ต่อบล็อก ทำให้รายได้ลดลงจากเดิมและแข่งกันมากขึ้น ต้องอาศัยต้นทุนต่ำและเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรักษากำไร
– มีค่าไฟฟ้าราคาต่ำกว่าระดับ 3 บาทต่อยูนิต
– มีทุนเพียงพอเพื่อซื้อเครื่องหลายเครื่อง
– สามารถดูแลและตั้งค่าเครื่องเอง ลดต้นทุนการบำรุงรักษา
– มุ่งสะสม Bitcoin ระยะยาว ไม่ถอนกำไรทันที
– ค่าไฟสูง
– ต้องการผลตอบแทนเร็ว
– ลงทุนด้วยต้นทุนอุปกรณ์แพงหรือผ่อนระยะยาว
– ขุดผ่านระบบที่ไม่โปร่งใส เช่น Cloud Mining ที่ไม่มีข้อมูลตรวจสอบชัดเจน
สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีต้นทุนด้านพลังงานที่ได้เปรียบ การขุด Bitcoin อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด ทางเลือกอื่นที่ได้รับความนิยม ได้แก่
– การซื้อ Bitcoin และทยอยสะสมแบบ DCA
– การลงทุนในบริษัทเหมือง Bitcoin รายใหญ่
– การเทรด Spot สำหรับผู้ที่ต้องการถือครองเหรียญ
– รอช่วงที่เครื่องขุดราคาลดลงก่อนเริ่มลงทุน
การขุด Bitcoin ในปีนี้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับต้นทุนด้านไฟฟ้า การเลือกอุปกรณ์ และระยะเวลาการถือครอง หากไม่มีต้นทุนที่เหมาะสม การซื้อ Bitcoin สะสมอาจเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากมีโครงสร้างต้นทุนต่ำและสามารถบริหารจัดการระบบได้ดี การขุดยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดและสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลที่แข็งแกร่งในระยะยาวได้
ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการใช้โบรกเกอร์ไม่ว่าจะโดนโกง ถอนเงินไม่ได้ หรือเจอพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส เราอยากบอกว่า… คุณไม่ได้เจอเรื่องนี้คนเดียว เพื่อให้วงการ Forex เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มาเล่าให้เราฟังหน่อยนะครับ ว่าเจออะไรมาบ้าง ทีมงานของเราจะนำข้อมูลไปช่วยวิเคราะห์ และจะติดต่อกลับเพื่อดูว่าเราพอจะช่วยอะไรได้บ้าง
คลิกตรงนี้เพื่อเล่าให้เราฟัง : https://forms.gle/YhR5UGA41pZT62Fo8

อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย : https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!


บทความนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการสื่อสารที่มัก “หายไปทันที” เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมในภาคใต้ของไทย หรือพายุเฮอริเคน Melissa ที่จาเมกา ซึ่งทำให้โครงสร้างสื่อสารแบบรวมศูนย์ล่มกว่า 70% เหตุการณ์ดังกล่าวผลักให้ชาวจาเมกาหันมาใช้ Bitchat แอปสื่อสารแบบ Decentralized ที่ทำงานผ่าน Bluetooth Mesh Network ส่งข้อความกันได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เครือข่ายประชาชนลักษณะนี้พิสูจน์ว่าเทคโนโลยี Decentralized ไม่ได้มีไว้เพียงเทรดคริปโต แต่มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยและการช่วยชีวิตในสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความชี้ให้เห็นว่าไทยควรพิจารณาเทคโนโลยี DePIN หรือระบบสื่อสารฉุกเฉินแบบไม่พึ่งโครงสร้างรวมศูนย์ เพื่อเพิ่มความทนทานในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต.

คำว่า CFX ไม่ใช่รหัสสกุลเงิน Forex แต่เป็นสัญลักษณ์ของเหรียญคริปโต Conflux (CFX) ซึ่งเทรดในตลาดคริปโตหรือ Crypto CFD การสับสนระหว่าง CFX กับคู่เงิน Forex อาจนำไปสู่การเปิดออเดอร์ผิดประเภท ประเมินความเสี่ยงผิด และวิเคราะห์กราฟผิดบริบท การเข้าใจประเภทสินทรัพย์ที่เทรดอยู่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยงและทำกลยุทธ์เทรดให้แม่นยำ

ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2025 ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงจาก 126,198 ดอลลาร์ต่ำกว่า 90,000 ดอลลาร์ เหตุผลหลักมาจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯ การไหลออกจาก Bitcoin ETF และแรงขายจากนักลงทุนรายใหญ่ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ การร่วงครั้งนี้อาจเป็นกระบวนการล้างเลเวอเรจเพื่อเตรียมรอบกระทิงครั้งต่อไป นักลงทุนควรโฟกัสภาพรวม ลดเลเวอเรจ และจับตาการไหลเข้า–ออกของตลาดเพื่อเตรียมรับโอกาสในรอบถัดไป

ตลาด Bitcoin เผชิญแรงขายรุนแรงจนราคาลงเหลือ 92,000 ดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนหน้าใหม่เป็นกลุ่มขายหลัก โดยมักขายด้วยอารมณ์มากกว่ากลยุทธ์ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของการวางแผนและความอดทน การเทขายครั้งนี้อาจช่วยปรับฐานเชิงโครงสร้าง ทำให้เหรียญตกไปอยู่ในมือของนักลงทุนที่มีความอดทนสูงกว่า แนวรับสำคัญอยู่ราว 89,000–93,000 ดอลลาร์ การอยู่รอดในตลาดขึ้นอยู่กับการมองภาพระยะยาวและใช้ข้อมูล ไม่ใช่รีบตัดสินใจตามอารมณ์ชั่วคราว.
octa
VT Markets
FOREX.com
Vantage
FXTM
ATFX
octa
VT Markets
FOREX.com
Vantage
FXTM
ATFX
octa
VT Markets
FOREX.com
Vantage
FXTM
ATFX
octa
VT Markets
FOREX.com
Vantage
FXTM
ATFX